ดอลลาร์อ่อนค่าลงในวันนี้ หลังจากดีดตัวขึ้นติดต่อกัน 2 วันเป็นครั้งแรกในรอบ 2 สัปดาห์ โดยดอลลาร์ปรับตัวลง หลังการเปิดเผยตัวเลขการว่างงานในสหรัฐที่สูงกว่าคาด ซึ่งสร้างความผิดหวังต่อตลาดที่คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจจะฟื้นตัวขึ้น หลังได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19                
    มุมมองทองคำภาคบ่าย   ทองคำดีดตัวขึ้นเล็กน้อยลักษณะรีบาวน์ระยะสั้น ดีดตัวขึ้น 0.1% โดยได้ปัจจัยบวกจากการอ่อนค่าของดอลลาร์ และการปรับตัวลงของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ  ขณะที่ดอลลาร์อ่อนค่าหลังเปิดเผยตัวเลขผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานที่สูงเกินคาด ซึ่งบ่งชี้ว่าเศรษฐกิจสหรัฐยังคงได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 
    และนอกจากนี้เฟดยังระบุด้วยว่า การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ยังคงสร้างความเสี่ยงต่อแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐ ซึ่งรวมถึงความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับไวรัสโควิด-19 ชนิดกลายพันธุ์ รวมทั้งความยากลำบากในการผลิตและการแจกจ่ายวัคซีน  
    นอกจากนี้ นักลงทุนยังจับตาข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐที่มีกำหนดเปิดเผยในคืนนี้ ได้แก่ ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตขั้นต้นเดือนก.พ.จากมาร์กิต, ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคบริการขั้นต้นเดือนก.พ.จากมาร์กิต และยอดขายบ้านมือสองเดือนม.ค.  เป็นต้น
 

        ดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักๆ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กเมื่อคืนนี้ หลังจากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) สาขานิวยอร์กเปิดเผยดัชนีภาคการผลิตพุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบ 7 เดือน รายงานการประชุมประจำเดือนม.ค.ของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เพื่อจับสัญญาณเกี่ยวกับทิศทางอัตราดอกเบี้ยของเฟดในอนาคต    

     สำนักข่าวซินหัวรายงานโดยอ้างข้อมูลจากกระทรวงวัฒนธรรมและการท่องเที่ยวของจีนว่า วิกฤตการณ์โรคโควิด-19 ในปี 2563 ที่ผ่านมานั้น ส่งผลให้ประชาชนชาวจีนมีการเดินทางท่องเที่ยวภายในประเทศเพียง 2.88 พันล้านครั้ง ซึ่งนับว่าหดตัวลง 52.1% เมื่อเทียบเป็นรายปี ส่วนภาคการท่องเที่ยวของจีนมีรายได้แค่เพียง 2.23 ล้านล้านหยวน (3.45 แสนล้านดอลลาร์) ในปีดังกล่าว ลดลง 61% เมื่อกับปีก่อนหน้า   ข้อมูลดังกล่าวยังบ่งชี้ด้วยว่า ภาคการท่องเที่ยวมีการฟื้นตัวขึ้นอย่างช้าๆ ตามสถานการณ์การระบาดของโรคโควิด-19 ที่เริ่มดีขึ้น โดยประชาชนออกเดินทางท่องเที่ยวในประเทศเพิ่มขึ้นต่อเนื่องจาก 295 ล้านครั้งในไตรมาส 1/2563 จนแตะระดับ 946 ล้านครั้งในไตรมาส 4/2563
     ทั้งนี้ คณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติของจีน (NHC) ได้ออกมาเปิดเผยเมื่อวานนี้ว่า จีนมียอดผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 สะสมในประเทศอยู่ที่ 89,816 ราย โดยในจำนวนนี้เป็นผู้ที่ได้รับการรักษาจนหายดีแล้ว 84,696 ราย
 

     สำนักงานสถิติแห่งชาติออสเตรเลีย (ABS) เปิดเผยว่า ยอดค้าปลีกเดือนม.ค.ของออสเตรเลียเพิ่มขึ้น 0.6% จากเดือนธ.ค.ปีที่แล้ว เนื่องจากมาตรการล็อกดาวน์เพื่อสกัดไวรัสโควิด-19 ในเมืองบริสเบนได้ส่งผลต่อการจับจ่ายใช้สอยของประชาชน ขณะที่แนวโน้มของยอดค้าปลีกยังปรับตัวผันผวนในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา  ทั้งนี้ ข้อมูลยอดค้าปลีกในเบื้องต้นของออสเตรเลียต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ว่าจะเพิ่มขึ้น 2.0%      
      ส่วนยอดค้าปลีกของออสเตรเลียเมื่อเดือนม.ค.ปีที่แล้วนั้น เพิ่มขึ้น 10.7% แตะที่ 3.54 หมื่นล้านดอลลาร์ออสเตรเลีย (2.373 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ) โดยในช่วงเวลาดังกล่าว ออสเตรเลียยังไม่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19  ยอดค้าปลีกในรัฐควีนส์แลนด์ลดลง 1.5% หลังยอดจำหน่ายสินค้าในครัวเรือน เครื่องนุ่งห่ม รองเท้า และยอดขายสินค้าในห้างสรรพสินค้าได้รับผลกระทบจากมาตรการล็อกดาวน์ในเมืองบริสเบน  
      ทั้งนี้ กิจกรรมในภาคธุรกิจค้าปลีกมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมาซึ่งมีการล็อกดาวน์ และการหันไปจำหน่ายสินค้าทางออนไลน์ที่ได้รับความนิยมอย่างล้นหลาม โดยการใช้จ่ายของภาคครัวเรือนในเดือนพ.ย. เพิ่มขึ้น 7.1% ก่อนจะปรับตัวลดลง 4.1% ในเดือนธ.ค.   
 

     ธนาคารกลางจีนได้อัดฉีดเงิน 2 หมื่นล้านหยวน (3.09 พันล้านดอลลาร์) ผ่านทางข้อตกลง reverse repos ประเภทอายุ 7 วันในวันนี้ และกำหนดอัตราดอกเบี้ยที่ 2.2% โดยมีเป้าหมายที่จะรักษาสภาพคล่องในระบบธนาคารให้เพียงพอ  สำหรับ reverse repo เป็นกระบวนการที่ธนาคารกลางเข้าซื้อหลักทรัพย์จากธนาคารพาณิชย์ด้วยข้อตกลงที่จะขายคืนในอนาคต