ดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักๆ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กเมื่อวันศุกร์ (30 เม.ย.) โดยดอลลาร์ปรับตัวตามทิศทางอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐที่ดีดตัวขึ้น และยังได้แรงหนุนจากการที่สหรัฐเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งเกินคาดด้วย  
      มุมมองภาคบ่าย  ราคาทองคำแกว่งตัวในกรอบแคบอ่อนตัวลงเล็กน้อย  เป็นการปรับตัวลงหลังการเปิดเผยตัวเลขเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งของสหรัฐ ส่งผลให้นักลงทุนเทขายทองในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย  ทั้งนี้ เศรษฐกิจสหรัฐขยายตัว 6.4% ในไตรมาส 1 ซึ่งเป็นตัวเลขการขยายตัวสูงเป็นอันดับ 2 นับตั้งแต่ไตรมาส 3/2546 หลังจากที่เติบโต 4.3% ในไตรมาส 4/2563  นอกจากนี้ นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจสหรัฐจะมีการขยายตัวมากกว่า 7.0% ในปีนี้ ซึ่งจะเป็นการขยายตัวสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2527 หลังจากหดตัว 3.5% ในปีที่แล้ว ซึ่งเป็นการหดตัวรุนแรงที่สุดในรอบ 74 ปี
     อย่างไรก็ตามนักลงทุนยังต้องติดตามตัวเลขเศรษฐกิจที่จะประกาศในสัปดาห์นี้ได้แก่  ดัชนีฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิต  ดัชนีภาคการผลิต ISM  ค่าใช้จ่ายด้านก่อสร้าง  ดุลการค้า  คำสั่งซื้อโรงงาน  การจ้างงานนอกภาคเกษตร ADP  ดัชนีฝ่ายจัดซื้อภาคบริการ  ดัชนีฝ่ายจัดซื้อภาคบริการ ISM  จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงาน  ผลผลิตนอกถาคการเกษตร  ต้นทุนค่าจ้างแรงงานต่อหน่วย  การจ้างงานนอกภาคการเกษตร  อัตราการว่างงาน  รายได้เฉลี่ยต่อชั่วโมงการทำงาน  สินค้าคงคลังภาคค้าส่ง เป็นต้น      
 

     ดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักๆ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กเมื่อวันศุกร์ (30 เม.ย.) โดยดอลลาร์ปรับตัวตามทิศทางอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐที่ดีดตัวขึ้น และยังได้แรงหนุนจากการที่สหรัฐเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งเกินคาดด้วย  

      สำนักข่าวซินหัวรายงานโดยอ้างแหล่งข่าวจากสำนักข่าวสกาย นิวส์ ของอังกฤษว่า หากการตรวจโรคแบบแลทเทอรัลโฟลว์ (Lateral flow) หรือการวินิจฉัยโรครายวันด้วยอุปกรณ์ทดสอบอย่างง่ายและรวดเร็วประสบความสำเร็จ ผู้ที่มีประวัติสัมผัสใกล้ชิดผู้ติดเชื้อโควิด-19 อาจไม่ต้องกักตัวในบ้านอีกต่อไป
      รายงานข่าวระบุว่า ปัจจุบันอังกฤษได้สั่งให้ผู้มีประวัติใกล้ชิดผู้ติดเชื้อโควิด-19 ต้องกักตัวในบ้านเป็นเวลา 10 วัน แต่มาตรการนี้อาจถูกยกเลิก หากการตรวจโรคดังกล่าวประสบผลสำเร็จ ซึ่งขณะนี้มีผู้สมัครใจเข้าร่วมการทดลองมากถึง 40,000 คน  นายแมตต์ แฮนค็อก รัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุขอังกฤษ ระบุว่า "มาตรการนำร่องใหม่นี้อาจช่วยให้เราได้เปรียบในวิกฤตโรคระบาด โดยมอบทางเลือกทดแทนการกักตัวให้กลุ่มผู้มีประวัติสัมผัสใกล้ชิดผู้ติดเชื้อ อันเป็นการเปิดทางให้ประชาชนสามารถออกไปทำงานและใช้ชีวิตของตัวเอง"
การทดลองข้างต้นจะเริ่มวันที่ 9 พ.ค. โดยผู้มีประวัติสัมผัสใกล้ชิดผู้ติดเชื้อจะได้รับการติดต่อทางโทรศัพท์ และหากตัดสินใจร่วมการทดลองก็จะได้รับชุดตรวจแบบแลทเทอรัลโฟลว์เพื่อใช้งาน 7 วัน โดยพวกเขาต้องตรวจโควิด-19 ทุกเช้า และจะได้รับอนุญาตให้งดเว้นการกักตัวทุกวันที่มีผลตรวจโรคเป็นลบ และไม่แสดงอาการป่วยของโควิด-19 ด้านสำนักข่าวบีบีซีระบุว่า การตรวจโรคแบบแลทเทอรัลโฟลว์จะทราบผลภายในเวลาประมาณ 30 นาที แต่มีความแม่นยำน้อยกว่าการตรวจแบบพีซีอาร์ (PCR) ซึ่งทราบผลภายในเวลาประมาณ 24 ชั่วโมง
      ทั้งนี้ สถิติล่าสุดระบุว่า ประชาชนในอังกฤษได้รับวัคซีนป้องกันโควิด-19 โดสแรกมากกว่า 34.3 ล้านคนแล้ว ด้านคณะผู้เชี่ยวชาญเตือนว่า แม้การฉีดวัคซีนมีความคืบหน้า แต่อังกฤษ "ยังไม่พ้นวิกฤต" เนื่องจากยังคงมีความท้าทายจากเชื้อไวรัสชนิดกลายพันธุ์ โดยเฉพาะที่พบครั้งแรกในแอฟริกาใต้ บราซิล และอินเดีย บวกกับการระบาดระลอก 3 ในทวีปยุโรป
 

       ประธานาธิบดีโจ ไบเดนแห่งสหรัฐประกาศในวันศุกร์ (30 เม.ย.) ห้ามผู้เดินทางส่วนใหญ่ที่ไม่ใช่พลเมืองสหรัฐจากอินเดียเข้าสู่สหรัฐ หลังจากที่โรคโควิด-19 แพร่ระบาดอย่างหนักในอินเดีย 
      ทำเนียบขาวเปิดเผยว่า ข้อจำกัดด้านการเดินทางครั้งใหม่ดังกล่าวจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันอังคารที่ 4 พ.ค.นี้เป็นต้นไป ซึ่งเป็นไปตามคำแนะนำของศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค (CDC) แห่งสหรัฐ และได้ถูกกำหนดขึ้น เนื่องจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 พุ่งขึ้นอย่างมากในอินเดีย  
      Worldometer ซึ่งเป็นเว็บไซต์รายงานข้อมูลล่าสุดที่มีการรวบรวมจากหน่วยงานด้านสาธารณสุขทั่วโลกระบุว่า ยอดรวมผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ของอินเดียอยู่ที่ 19,157,094 ราย และยอดผู้เสียชีวิตอยู่ที่ 211,835 ราย  
 

     คณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติของจีน (NHC) เปิดเผยในวันนี้ว่า ทางการจีนได้ทำการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ให้กับประชาชนทั่วประเทศแล้วกว่า 270.4 ล้านโดส โดยนับถึงวันที่ 1 พ.ค. ที่ผ่านมา