ดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักๆ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กเมื่อวันศุกร์ (11 มิ.ย.) โดยได้แรงหนุนจากการที่สหรัฐเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งเพิ่มขึ้นในวันศุกร์ หลังจากที่เปิดเผยข้อมูลเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา   
      มุมมองทองคำภาคเช้า  ทองคำหลุดจากระดับ 1,870 ดอลลาร์ในช่วงเที่ยงวันนี้ โดยถูกกดดันจากการแข็งค่าของดอลลาร์ ขณะที่นักลงทุนจับตาการประชุมนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในวันที่ 15-16 มิ.ย.นี้ เพื่อหาสัญญาณเกี่ยวกับทิศทางอัตราดอกเบี้ยของเฟด
       ทองคำได้รับแรงกดดันจากจากสกุลเงินดอลลาร์ที่แข็งค่าในวันนี้ หลังจากกระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยเมื่อวันพฤหัสบดีว่า ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ซึ่งเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อจากการใช้จ่ายของผู้บริโภคสูงขึ้นกว่าคาดการณ์ อาจส่งผลต่อการพิจารณาปรับอัตราดอกเบี้ยในการประชุม FOMC ครั้งนี้
       นักลงทุนยังต้องติดตามตัวเลขเศรษฐกิจที่จะประกาศในคืนนี้ได้แก่  ยอดค้าปลีก  ดัชนีภาคการผลิตสาขา นิวยอร์ก  ผลผลิตภาคอุตสาหกรรม อัตราการใช้กำลังการผลิต  สินค้าคงคลังภาคธุรกิจ  ดัชนีตลาดที่อยู่อาศัย  จำนวนที่อยู่อาศัยเริ่มสร้าง  ใบอนุญาติก่อสร้างที่อยู่อาศัย  จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงาน  ดัชนีภาคการผลิต เฟด สาขาฟิลาเดเฟีย  ดัชนีชี้นำภาวะเศรษฐกิจ เป็นต้น                             
 

     ดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักๆ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กเมื่อวันศุกร์ (11 มิ.ย.) โดยได้แรงหนุนจากการที่สหรัฐเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งเพิ่มขึ้นในวันศุกร์ หลังจากที่เปิดเผยข้อมูลเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา   

     จีนได้ออกมาประณามแถลงการณ์ร่วมจากกลุ่มผู้นำ G7 ที่ตำหนิจีนในประเด็นต่าง ๆ โดยระบุว่า การกระทำดังกล่าวเป็นการแทรกแซงกิจการภายในประเทศอย่างร้ายแรง และเรียกร้องให้กลุ่ม G7 หยุดใส่ร้ายป้ายสีจีน    เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ผู้นำกลุ่ม G7 ได้ออกแถลงการณ์โจมตีจีนเกี่ยวกับประเด็นสิทธิมนุษยชนในภูมิภาคซินเจียงอุยกูร์ รวมถึงเรียกร้องให้ฮ่องกงรักษาเอกราช และเน้นย้ำถึงความสำคัญของสันติภาพและเสถียรภาพในช่องแคบไต้หวัน  สถานทูตจีนประจำกรุงลอนดอนเปิดเผยว่า จีนรู้สึกไม่พอใจอย่างยิ่ง และขอคัดค้านอย่างเด็ดขาดกับการที่กลุ่ม G7 กล่าวถึงซินเจียง ฮ่องกง และไต้หวันด้วยการบิดเบือนข้อเท็จจริง อีกทั้งยังเผยให้เห็นถึงเจตนาร้ายของบางประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกา  สถานทูตจีนระบุว่า ด้วยสถานการณ์ของโควิด-19 และเศรษฐกิจโลกที่ซบเซา ประชาคมนานาชาติจึงต้องสามัคคีและร่วมมือกัน มากกว่าจะทำตัวไม่ลงรอยกัน โดยกลุ่ม G7 ควรต้องส่งเสริมความร่วมมือระหว่างประเทศ แทนที่จะสร้างการเผชิญหน้าและการเสียดสีเช่นนี้    นอกจากนี้ จีนยังเป็นประเทศที่รักสันติภาพและพร้อมให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่ แต่ก็มีจุดยืนของตัวเองเช่นกัน

     ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ผู้นำสหรัฐออกแถลงข่าวหลังการประชุมสุดยอดของกลุ่ม G7 สิ้นสุดลงเมื่อวานนี้ โดยเรียกร้องให้จีนแสดงความรับผิดชอบในด้านสิทธิมนุษยชน และเน้นย้ำถึงความวิตกกังวลเกี่ยวกับการปฏิบัติต่อชาวมุสลิมอุยกูร์ในเขตปกครองตนเองซินเจียง ตลอดจนแสดงความกังขาในคำอธิบายของรัฐบาลจีนเกี่ยวกับต้นตอการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19  ปธน.ไบเดนเปิดเผยว่า เขาและผู้นำคนอื่นๆ ยังคงมีความวิตกกังวลในประเด็นดังกล่าว เนื่องจากรัฐบาลจีนขาดความโปร่งใส   "เรายังไม่สามารถเข้าถึงห้องทดลองเพื่อทำการตรวจสอบว่า การแพร่ระบาดของโรคนั้นมีต้นตอจากการสัมผัสเชื้อจากค้างคาวในตลาดสด หรือเกิดจากความผิดพลาดในห้องทดลอง ทั้งนี้ ผมยังไม่ได้สรุปข้อเท็จจริง เนื่องจากผู้เชี่ยวชาญของเราก็ยังไม่สามารถให้ข้อสรุปที่ชัดเจนได้เช่นกัน" ปธน.ไบเดนกล่าว
     นอกจากนี้ ปธน.ไบเดนยังระบุว่า กลุ่ม G7 ซึ่งเป็นกลุ่มประเทศในระบอบประชาธิปไตยที่ร่ำรวยที่สุดในโลกนั้น อยู่ระหว่างการต่อสู้ทางแนวคิดกับรัฐบาลเผด็จการของประเทศต่างๆ ซึ่งรวมถึงรัฐบาลจีนด้วย  "ผมคิดว่าพวกเราอยู่ระหว่างการเผชิญหน้า อาจไม่ใช่กับจีนเสียทีเดียว แต่เป็นการเผชิญหน้ากับผู้นำเผด็จการและรัฐเผด็จการต่างๆ ทั่วโลก เพื่อดูว่าประเทศในระบอบประชาธิปไตยจะสามารถแข่งขันกับรัฐเหล่านี้ได้หรือไม่ในยุคศตวรรษที่ 21 ที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว" ปธน.ไบเดนกล่าว  
     ปธน.ไบเดนเปิดเผยว่า สหรัฐจะหันกลับมาสานสัมพันธ์กับประเทศพันธมิตรอีกครั้ง หลังจากอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์นำสหรัฐถอนตัวจากเวทีโลกตามนโยบาย "America First"  "สหรัฐจะหวนคืนสู่เวทีผู้นำโลกอีกครั้ง โดยร่วมมือกับชาติพันธมิตรที่มีแนวคิดตรงกับความเชื่อที่เรายึดถือ" ปธน.ไบเดนกล่าว  
 

     ราคาน้ำมัน WTI ดีดขึ้นเหนือระดับ 71 ดอลลาร์ในช่วงบ่ายวันนี้ ขานรับความหวังที่ว่าความต้องการใช้น้ำมันจะเริ่มฟื้นตัวขึ้น หลังจากสำนักงานพลังงานสากล (IEA) คาดการณ์ว่า ความต้องการใช้น้ำมันทั่วโลกจะกลับคืนสู่ระดับก่อนเกิดโรคโควิด-19 ระบาดได้ภายในสิ้นปีหน้า  ณ เวลา 13.00 น.ตามเวลาไทย สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ส่งมอบเดือนก.ค. ดีดขึ้น 33 เซนต์ หรือ 0.47% แตะที่ 71.24 ดอลลาร์/บาร์เรล  ราคาน้ำมัน WTI ดีดตัวขึ้น หลังจาก IEA ระบุในรายงานภาวะตลาดน้ำมันเดือนมิ.ย.ว่า บรรดาผู้ผลิตจำเป็นจะต้องเพิ่มปริมาณการผลิตเพื่อรองรับการฟื้นตัวของอุปสงค์  IEA คาดว่า อุปสงค์น้ำมันจะเพิ่มขึ้นในปีนี้ก่อนจะขยายตัวเพิ่มมากขึ้นอีกในปีหน้าแตะ 100.6 ล้านบาร์เรลต่อวันภายในสิ้นปี 2565 
     นอกจากนี้ IEA คาดว่า ความต้องการน้ำมันทั่วโลกจะเพิ่มขึ้น 5.4 ล้านบาร์เรลต่อวันในปี 2564 และจะเพิ่มขึ้นอีก 3.1 ล้านบาร์เรลต่อวันในปี 2565 หลังจากที่ลดลงมากเป็นประวัติการณ์ 8.6 ล้านบาร์เรลต่อวันในปี 2563