ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เปิดเผยรายงานการประชุมซึ่งจัดขึ้นเมื่อวันที่ 16-17 มี.ค.ที่ผ่านมา โดยระบุว่า เฟดอาจจะต้องใช้เวลาอีกระยะหนึ่งก่อนที่จะเริ่มปรับลดวงเงินซื้อสินทรัพย์

"โครงการซื้อสินทรัพย์ของเฟดซึ่งเริ่มดำเนินการตั้งแต่เดือนมี.ค.ปีที่แล้วนั้น ได้ช่วยผ่อนคลายความตึงเครียดด้านการเงินอย่างเป็นรูปธรรม และเป็นปัจจัยหนุนเศรษฐกิจให้แข็งแกร่งขึ้นอย่างมาก กรรมการเฟดมองว่า วงเงินในโครงการซื้อสินทรัพย์ควรจะอยู่ในระดับปัจจุบันต่อไป จนกว่าคณะกรรมการเฟดจะบรรลุเป้าหมายการจ้างงานอย่างเต็มศักยภาพ รวมทั้งเป้าหมายการสร้างเสถียรภาพด้านราคา" เฟดระบุในรายงานการประชุมเดือนมี.ค. ในการประชุมเมื่อวันที่ 16-17 มี.ค.นั้น เฟดให้คำมั่นว่าจะเดินหน้าซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) อย่างน้อย 1.2 แสนล้านดอลลาร์/เดือน โดยเฟดจะซื้อพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐวงเงิน 8 หมื่นล้านดอลลาร์/เดือน และซื้อตราสารหนี้ที่มีสินเชื่อที่อยู่อาศัยเป็นหลักประกันการจำนอง (MBS) ในวงเงิน 4 หมื่นล้านดอลลาร์

รายงานการประชุมยังระบุด้วยว่า กรรมการเฟดได้หารือกันเกี่ยวกับอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐที่พุ่งขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฟดมองว่า การปรับตัวขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรเป็นการสะท้อนถึงแนวโน้มเศรษฐกิจที่ดีขึ้น และสะท้อนถึงการปรับตัวขึ้นของตัวเลขคาดการณ์เงินเฟ้อ

อย่างไรก็ดี รายงานการประชุมเฟดระบุว่า ภาวะผันผวนที่เกิดขึ้นในตลาดพันธบัตร หรือกรณีที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องนั้น อาจจะส่งผลกระทบต่อเป้าหมายของคณะกรรมการเฟด ซึ่งถือเป็นสิ่งที่เฟดกังวล ขณะเดียวกันมีกรรมการเฟดจำนวนหนึ่งได้แสดงความกังวลว่า ภาวะการเงินที่ผ่อนคลายอย่างมากอาจทำให้เกิดการลงทุนที่มีความเสี่ยงมากเกินไป และทำให้เกิดความไม่สมดุลด้านการเงิน

อ้างอิงข้อมูลจาก ryt 9